Search This Blog

Google

Friday, September 9, 2022

แปลสวดแจง -พระสังคิณี- แปลโดยอรรถและโดยยกศัพท์

 



แปลสวดแจง -พระสังคิณี- แปลโดยอรรถและโดยยกศัพท์

======================

แปลโดยอรรถ

กุสะลา ธัมมา

ธรรมเป็นกุศล

อกุสลา ธัมมา

ธรรมเป็นอกุศล

อัพยากตา ธัมมา

ธรรมเป็นอัพยากฤต

กะตะเม ธัมมา กุสะลา

ธรรมที่เป็นกุศลเป็นไฉน

ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง

ในสมัยใด จิตที่เป็นกุศล อันนำสัตว์ไปให้เกิดในกามภพ

อุปปันนัง โหติ

เป็นจิตอันเกิดขึ้นแล้ว

โสมะนัสสะสะหะคะตัง

เป็นไปพร้อมกับจิตที่เป็นความสุขใจ

ญาณสัมปะยุตตัง

ประกอบด้วยญาณ

รูปารัมมะณัง วา

มีรูปเป็นอารมณ์บ้าง

สัททารัมมะณัง วา

มีเสียงเป็นอาราณ์บ้าง

คันธารัมมะณัง วา

มีกลิ่นเป็นอารมณ์บ้าง

รสารัมมะณัง วา

มีรสเป็นอารมณ์บ้าง

โผฏฐัพพารัมมะณัง วา

มีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์บ้าง

ธัมมารัมมะณัง วา

มีธรรมเป็นอารมณ์บ้าง

ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ

ก็หรือว่า ปรารภอารมณ์ใดๆ บังเกิดขึ้น

ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ

ในสมัยนั้น ผัสสะ ย่อมเกิดขึ้น

เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย

ก็หรือว่า ธรรมทั้งหลายเหล่าใด ก็ย่อมบังเกิดขึ้น ในสมัยนั้น

อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา

ธรรมทั้งหลายแม้เหล่าอื่นนั้น  เป็นธรรมอันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น

อะรูปิโน ธัมมา

เป็นแต่นามธรรม ไม่มีรูป

อิเม ธัมมา กุสะลา

ธรรมทั้งหลายเหล่านี้ ชื่อว่าเป็นกุศล

=================

แปลโดยยกศัพท์

=================

กุสะลา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย กุสะลา เป็นกุศล สันติ มีอยู่

อะกุสะลา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อะกุสะลา เป็นอกุศล สันติ มีอยู่

อัพยากะตา ธัมมา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อัพยากตา เป็นอัพยากฤต สันติ มีอยู่

กะตะเม ธัมมา กุสะลา

กุสะลา ธัมมา อันว่าธรรมอันเป็นกุศล กะตะเม เป็นไฉน โหนติ ย่อมเป็น

ยัสมิง สะมะเย กามาวะจะรัง กุสะลัง จิตตัง

ยัสมิง สะมะเย ในสมัยใด จิตตัง อันว่าจิต กุสะลัง อันเป็นกุศล กามาวะจะรัง อันนำสัตว์ให้เกิดในกามภพ

อุปปันนัง โหติ

อุปปันนัง เป็นจิตอันเกิดขึ้นแล้ว โหติ ย่อมเป็น

โสมะนัสสะสะหะคะตัง

เป็นจิตอันไปพร้อมกับจิตที่เป็นความสุขใจ

ญาณสัมปะยุตตัง

เป็นจิตประกอบด้วยญาณ

รูปารัมมะณัง วา

เป็นจิตมีรูปเป็นอารมณ์หรือ

สัททารัมมะณัง วา

หรือเป็นจิตมีเสียงเป็นอาราณ์

คันธารัมมะณัง วา

เป็นจิตมีกลิ่นเป็นอารมณ์หรือ

รสารัมมะณัง วา

หรือว่าเป็นจิตมีรสเป็นอารมณ์

โผฏฐัพพารัมมะณัง วา

เป็นจิตมีโผฏฐัพพะเป็นอารมณ์หรือ

ธัมมารัมมะณัง วา

หรือว่าเป็นจิตมีธรรมเป็นอารมณ์

ยัง ยัง วา ปะนารัพภะ

วา ปะนะ ก็หรือว่า  จิตตัง อันว่าจิต ยัง ยัง อารัมมะณัง อารัพภะ อุปปันนัง เป็นจิต ปรารภ ซึ่งอารมณ์ใดๆเกิดขึ้นแล้ว โหติ ย่อมเป็น

ตัสมิง สะมะเย ผัสโส โหติ

ผัสโส อันว่าผัสสะ โหติ ย่อมมี สะมะเย ในสมัย ตัสมิง นั้น

เย วา ปะนะ ตัสมิง สะมะเย

วา ปะนะ ก็หรือว่า  เย ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย เหล่าใด อุปปันนา เป็นธรรมอันเกิดขึ้นแล้ว ตัสมิง สะมะเย ในสมัยนั้น โหนติ ย่อมเป็น

อัญเญปิ อัตถิ ปะฏิจจะสะมุปปันนา

อัญเญปิ ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลายแม้เหล่าอื่น เต เหล่านั้น  ปะฏิจจะสะมุปปันนา เป็นธรรมอันอาศัยกันและกันเกิดขึ้น  สันติ มีอยู่

อะรูปิโน ธัมมา

ธัมมา เป็น(แต่)นามธรรม อะรูปิโน ไม่มีรูป โหนติ ย่อมเป็น

อิเม ธัมมา กุสะลา

ธัมมา อันว่าธรรมทั้งหลาย อิเม เหล่านี้ กุสะลา  เป็นกุศล โหนติ ย่อมเป็น.

 

No comments:

Post a Comment

Followers